ตาล้าจากคอม สาเหตุ อาการ และ 9 วิธีแก้ที่จักษุแพทย์แนะนำ

ตาล้าจากคอม สาเหตุ อาการ และ 9 วิธีแก้ที่จักษุแพทย์แนะนำ

การจ้องมองหน้าจอเป็นเวลานานจนเกิดอาการตาล้า ปวดตา หรือเมื่อยตานั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในยุคดิจิทัล เมื่อดวงตาของเรารับแสงสีฟ้า (Blue Light) ปริมาณมากจากหน้าจออุปกรณ์ต่างๆ อาจส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ตามมาได้ เช่น ปวดตา ตาล้า ตาแห้ง แสบตา หรือในบางรายอาจกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรน บทความนี้เปรียบเสมือนคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จักษุแพทย์จะมาอธิบายถึงสาเหตุ วิธีแก้ไข และการป้องกันอาการตาล้าจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างละเอียดค่ะ

สรุปประเด็นสำคัญ (Key Takeaways)

  • สาเหตุหลัก: การใช้กล้ามเนื้อตาในการโฟกัสระยะใกล้เป็นเวลานาน อัตราการกระพริบตาน้อยลง และแสงสะท้อนจากหน้าจอ
  • วิธีแก้เร่งด่วน: ใช้กฎ “20-20-20” คือพักสายตาทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที และหมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น
  • การป้องกันระยะยาว: ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม เช่น ความสว่างและตำแหน่งจอ บริหารสายตาเป็นประจำ และพิจารณาใช้แว่นกรองแสงคุณภาพสูงเพื่อช่วยลดภาระของดวงตา

อาการตาล้าจากคอมพิวเตอร์ คืออะไรกันแน่?

อาการตาล้าจากคอมพิวเตอร์

อาการตาล้าจากคอมพิวเตอร์ ในทางการแพทย์เรียกว่า คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome: CVS) หรืออาจเรียกว่า Digital Eye Strain ซึ่งสมาคมจักษุแพทย์แห่งอเมริกา (American Academy of Ophthalmology) ได้ให้คำนิยามว่าเป็นกลุ่มอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต จนทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานได้

10 สัญญาณเตือนว่าดวงตาของคุณกำลัง ประท้วง

10 สัญญาณเตือนว่าดวงตาของคุณกำลัง "ประท้วง"
  1. ตาแห้ง แสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีทรายอยู่ในตา
  2. ตาแดงหรือมีน้ำตาไหลผิดปกติ
  3. ปวดตา ปวดกระบอกตา หรือรู้สึกปวดบริเวณรอบๆ ดวงตา
  4. สายตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดชั่วคราว
  5. เห็นภาพซ้อน
  6. ปรับโฟกัสภาพได้ช้าลง (เช่น เมื่อละสายตาจากจอไปมองไกล ภาพจะมัวอยู่ครู่หนึ่ง)
  7. ปวดศีรษะ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายหรือเย็น
  8. ปวดคอ บ่า และไหล่ ซึ่งมักเกิดจากท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง
  9. ตาสู้แสงจ้าไม่ค่อยได้
  10. รู้สึกว่าต้องหรี่ตาเพื่อพยายามมองภาพให้ชัดขึ้น

หากคุณมีอาการเหล่านี้ อย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบหาสาเหตุและทำการรักษาเพิ่มเติมกับจักษุแพทย์

เจาะลึก 5 สาเหตุหลักที่ทำให้คุณตาล้าจากการจ้องคอม

เจาะลึก 5 สาเหตุหลักที่ทำให้คุณตาล้าจากการจ้องคอม

1. การทำงานหนักของกล้ามเนื้อตา: เวลาที่เราจ้องมองวัตถุในระยะใกล้ กล้ามเนื้อภายในดวงตาจะทำงานเพื่อปรับเลนส์ตาให้โป่งขึ้นและดึงลูกตาเข้าหากันเพื่อโฟกัสภาพให้คมชัด การจ้องจอนานๆ จึงเปรียบเสมือนการบังคับให้กล้ามเนื้อตาต้องออกแรงค้างไว้ตลอดเวลา จนเกิดอาการเมื่อยล้าได้

2. อัตราการกะพริบตาที่ลดลงเกือบ 50%: โดยธรรมชาติแล้ว คนเราจะกะพริบตาประมาณ 15-20 ครั้งต่อนาที แต่เมื่อเราจดจ่อกับหน้าจอ อัตราการกะพริบตาจะลดลงเหลือเพียง 5-7 ครั้งต่อนาที การกะพริบตาที่น้อยลงทำให้น้ำตาระเหยเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งและแสบตาตามมา

3. แสงสีฟ้าและแสงสะท้อนจากหน้าจอ:

  • ข้อดี: แสงสีฟ้าช่วยให้เรารับรู้ช่วงเวลากลางวันและกลางคืน กระตุ้นการตื่นตัวของร่างกายและสมอง
  • ข้อเสีย: การรับแสงสีฟ้าในปริมาณมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดอาการปวดตา ตาล้า ตาแห้ง และแสบตาได้ นอกจากนี้ การใช้จอก่อนนอนยังรบกวนการนอนหลับ และมีงานวิจัยที่ชี้ว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมในระยะยาวได้

4. สภาพแวดล้อมและท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม: ท่านั่งที่ไม่ถูกหลักสรีรศาสตร์อาจนำไปสู่อาการปวดคอ บ่า และไหล่ เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อม เช่น ห้องที่อากาศแห้งหรือเย็นเกินไปจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้ตาแห้งง่ายขึ้น หรือแสงสว่างในห้องที่จ้าเกินไปก็ทำให้แสบตาและปวดหัวได้

5. ปัญหาสายตาเดิมที่ไม่ได้รับการแก้ไข: ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น ยาว หรือเอียง แต่ไม่ได้ใส่แว่นหรืออัปเดตค่าสายตาให้เป็นปัจจุบัน ดวงตาจะต้องพยายามเพ่งมากขึ้นเพื่อปรับภาพให้คมชัด การเพ่งที่มากเกินความจำเป็นนี้เองที่นำไปสู่อาการปวดกระบอกตา ตาล้า และปวดศีรษะได้

9 เทคนิคแก้ตาล้าจากคอม ที่จักษุแพทย์แนะนำให้ทำทันที

9 เทคนิคแก้ตาล้าจากคอม ที่จักษุแพทย์แนะนำให้ทำทันที
  1. ใช้กฎ “20-20-20 ที่ใครๆ ก็ทำได้: จากผลสำรวจออนไลน์ของเว็บไซต์ nih.gov ระบุว่าวิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับการแนะนำอย่างแพร่หลาย คือ ทุกๆ 20 นาทีของการทำงานหน้าจอ ให้พักสายตาโดยมองออกไปไกลประมาณ 20 ฟุต (หรือ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที
  2. บริหารกล้ามเนื้อตาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น: ลองละสายตาจากจอแล้วมองออกไปไกลๆ หรือมองพื้นที่สีเขียว เช่น ต้นไม้ตามธรรมชาติ จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย
  3. กะพริบตาอย่างตั้งใจ เทคนิคง่ายๆ ที่หลายคนมองข้าม: พยายามเตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ และเต็มที่ เพื่อให้น้ำตากระจายตัวเคลือบผิวตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
  4. ปรับหน้าจอคอมให้ถูกต้อง: ควรปรับความสว่างของหน้าจอให้พอดีกับแสงสว่างในห้อง ไม่จ้าหรือมืดจนเกินไป และพยายามจัดวางจอในตำแหน่งที่หลีกเลี่ยงแสงสะท้อน
  5. จัดโต๊ะทำงานใหม่ตามหลักสรีรศาสตร์:
    -ตำแหน่งจอ: หน้าจอควรอยู่ห่างจากดวงตาประมาณ 50-70 เซนติเมตร และจุดศูนย์กลางของจอควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อยประมาณ 15-20 องศา
    -ท่านั่ง: นั่งหลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย ลำคอตั้งตรง และวางเท้าทั้งสองข้างให้ราบกับพื้น
  6. เลือกใช้น้ำตาเทียมให้ถูกต้องและปลอดภัย: สำหรับผู้ที่ตาแห้งมาก แนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมชนิดรายวันซึ่งไม่มีสารกันเสีย อาจหยอดทุกๆ 2 ชั่วโมงเมื่อต้องทำงานหน้าจอนานๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  7. เพิ่มความชื้นในอากาศ: การทำงานในห้องแอร์อาจทำให้อากาศแห้งเกินไป ลองวางต้นไม้เล็กๆ บนโต๊ะทำงาน หรือเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศบ้างในช่วงเวลาพัก
  8. อาหารและวิตามินบำรุงสายตาที่จำเป็น:
    -วิตามิน A: ช่วยในการมองเห็นในที่มืดและลดอาการตาแห้ง
    -ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin): ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้าและรังสียูวี และเสริมความแข็งแรงให้จอประสาทตา (เรตินา)
    -โอเมก้า-3 (Omega-3): ช่วยลดอาการตาแห้ง
    -วิตามิน B1, B2, B6, B12: ช่วยบำรุงเส้นประสาทตาและลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา
    -วิตามิน C, E และสังกะสี (Zinc): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ในดวงตา
    คำแนะนำ: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานอาหารเสริมใดๆ
  9. แว่นกรองแสง ตัวช่วยสำคัญสำหรับคนทำงานหน้าจอยุคใหม่ การสวมแว่นกรองแสงคุณภาพสูงจะช่วยลดปริมาณแสงสีฟ้าที่จะเข้าสู่ดวงตาโดยตรง ทำให้รู้สึกสบายตาและลดอาการไม่สบายตาต่างๆ ได้ นอกจากนี้ แว่นกรองแสงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ (เลนส์ลดกำลังการเพ่ง) ยังสามารถช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อตาได้อีกด้วย โดยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวัดค่าสายตาให้เหมาะสมกับระยะการใช้งาน

สัญญาณอันตราย อาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบจักษุแพทย์?

สัญญาณอันตราย: อาการแบบไหนที่ควรรีบไปพบจักษุแพทย์?

หากคุณมีอาการ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือ เห็นภาพซ้อน เช่น มองรถยนต์ 1 คัน แต่เห็นเป็น 2 คัน นี่คือสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรละเลย ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยทันที

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับแว่นกรองแสง

แว่นกรองแสงช่วยลดอาการตาล้าได้จริงหรือไม่?

ช่วยได้จริงค่ะ จากประสบการณ์ของผู้ใช้งานจริงหลายท่านพบว่า แว่นกรองแสงช่วยให้ทำงานหน้าจอได้สบายตาขึ้น ลดอาการปวดตา ตาล้า และตาแห้ง ทำให้สามารถทำงานได้นานขึ้นกว่าเดิม

จำเป็นค่ะ โดยเฉพาะหากคุณต้องทำงานหน้าจอเป็นเวลานานๆ แว่นที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานระยะคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะจะช่วยให้คุณทำงานได้สบายตาและยาวนานยิ่งขึ้น

โหมด Night Light สามารถช่วยให้สบายตาขึ้นได้เช่นกัน เพราะเป็นการลดแสงสีฟ้าจากหน้าจอโดยตรง ทำให้ภาพที่เห็นเป็นโทนสีเหลืองนวลและแสงดร็อบลง

มีความเสี่ยงสูงกว่าค่ะ เนื่องจากเด็กๆ มักต้องใช้เวลาจ้องหน้าจอเพื่อการเรียนเป็นเวลานาน

บทสรุปจาก แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา

อาการตาล้าจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นภาวะที่ป้องกันและบรรเทาได้ หากคุณมีอาการไม่สบายตาต่างๆ การลงทุนกับสุขภาพดวงตา เช่น การปรับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม หรือการเลือกใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าที่เหมาะสม ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อถนอมดวงตาของคุณในระยะยาว

ผู้เขียนบทความ

แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน)

แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน)

จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาและการมองเห็น ด้วยความเชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา จักษุแพทย์ผู้ก่อตั้ง Mattaya Vision Center พร้อมวินิจฉัยและให้คำปรึกษาเฉพาะทางด้านเลนส์โปรเกรสซีฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาสายตาซับซ้อนจากภาวะสายตายาวตามวัย

ประวัติการศึกษา

  • แพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1):  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วุฒิบัตรสาขาจักษุวิทยา:  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วุฒิบัตรการผ่าตัดตกแต่งกล้ามเนื้อตาและตาสองชั้น: Korean College of Cosmetic Surgery (KCCS) ประเทศเกาหลีใต้
ทักแชท ปรึกษาฟรี
ทักไลน์ ปรึกษาฟรี
สาขาของเรา
×

เบอร์โทรติดต่อ

099-463-6365