แว่นกรองแสงสำหรับเด็ก คู่มือฉบับสมบูรณ์โดยจักษุแพทย์ เพื่อพ่อแม่และลูกรัก

แว่นกรองแสงสำหรับเด็ก

หมอเข้าใจความกังวลของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดี ในยุคสมัยที่หน้าจอแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การให้ลูกหลีกเลี่ยงอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ คงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บทความนี้จึงเปรียบเสมือนคู่มือที่หมอตั้งใจเขียนขึ้น เพื่อมอบทางเลือกและเกราะป้องกันสำหรับดวงตาของเด็กๆ ในยุคดิจิทัลนี้ค่ะ

ประเด็นสำคัญที่ผู้ปกครองต้องรู้

  • ความจำเป็น: แว่นกรองแสงอาจช่วยลดอาการตาล้าและปรับสมดุลการนอนได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าสามารถป้องกันโรคตาจากแสงหน้าจอได้โดยตรง
  • ดวงตาของเด็ก: ดวงตาของเด็กยังบอบบางและอยู่ในช่วงพัฒนา ทำให้รับแสงสีฟ้าได้มากกว่าผู้ใหญ่ การป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
  • วิธีเลือก: ควรเลือกเลนส์ที่ทนทานสูง สามารถป้องกันรังสี UV ได้ 100% (UV400) และมีกรอบแว่นที่พอดีกับใบหน้า ไม่แนะนำให้ซื้อแว่นสำเร็จรูปราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน
  • สำคัญกว่าแว่น: การสร้างวินัยและพฤติกรรมการใช้สายตาที่ดี คือหัวใจสำคัญที่สุด เช่น การพักสายตาตามกฎ “20-20-20” และการจำกัดเวลาหน้าจอให้เหมาะสมกับวัย

ยุคดิจิทัลกับดวงตาของลูกน้อย ทำไมพ่อแม่จึงกังวล?

"แสงสีฟ้า" (Blue Light)

แสงสีฟ้า (Blue Light) นั้นมีอยู่รอบตัวเรา พบได้ทั้งในแสงแดดธรรมชาติ และในอุปกรณ์ดิจิทัลที่ลูกใช้เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หรือแม้แต่หลอดไฟ LED เมื่อเด็กๆ ใช้เวลาจ้องหน้าจอนานๆ แสงสีฟ้าเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อดวงตาและก่อให้เกิดอาการต่างๆ ได้ เช่น

  • อาการทางสายตา: ปวดตา ตาล้า เมื่อยตา ตาแห้ง แสบตา หรือน้ำตาไหล
  • อาการทางร่างกาย: ปวดศีรษะ
  • ผลกระทบต่อการนอน: การจ้องหน้าจอก่อนนอนอาจรบกวนวงจรการนอนหลับ ทำให้ลูกนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท
  • ความเสี่ยงระยะยาว: มีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า การได้รับแสงสีฟ้าในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในอนาคตได้

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณพ่อคุณแม่จะกังวลถึงสุขภาพดวงตาของลูกรัก

แว่นกรองแสงเด็ก จำเป็นจริงหรือ? คำตอบจากมุมมองจักษุแพทย์

แว่นกรองแสงเด็ก จำเป็นจริงหรือ?

ข้อเท็จจริง: ดวงตาของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างไร?

โครงสร้างดวงตาของเด็กยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่และมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่หลายประการ เช่น เลนส์ตาที่ใสกว่า ทำให้แสงสีฟ้าสามารถทะลุผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้ในปริมาณที่มากกว่าผู้ใหญ่ ดวงตาของเด็กจึงมีความบอบบางและไวต่อแสงมากกว่า ด้วยเหตุนี้ การป้องกันดวงตาตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

ประโยชน์ที่ “อาจจะ” ได้รับจากการใส่แว่นกรองแสง

แว่นกรองแสง ถูกออกแบบมาเพื่อลดปริมาณแสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลที่จะเข้าสู่ดวงตา ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการไม่สบายตาต่างๆ เช่น อาการปวดตา ตาล้า หรือตาแห้งจากการจ้องจอนานๆ ได้ นอกจากนี้ สำหรับเด็กที่มีปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น การตัดแว่นกรองแสงที่มาพร้อมกับค่าสายตาที่ถูกต้อง จะช่วยให้มองเห็นได้คมชัดขึ้น และอาจช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาที่เร็วกว่าปกติได้อีกด้วย

มุมมองที่ต้องรู้: สิ่งที่แว่นกรองแสง “ทำไม่ได้”

สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ แว่นกรองแสง ไม่สามารถรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ หรือหยุดการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาสั้นได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่ช่วย “ป้องกัน” และ “ชะลอ” ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สถาบันจักษุวิทยาแห่งอเมริกา ได้ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลเป็นอันตรายต่อดวงตาโดยตรง

คำตอบโดยแพทย์ ควรซื้อแว่นกรองแสงให้ลูกใส่ไหม?

คำตอบคือ “ควรพิจารณาซื้อ” หากลูกมีความจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่หน้าจอเป็นประจำ เพราะแว่นกรองแสงจะทำหน้าที่เป็นเกราะช่วยลดปริมาณแสงสีฟ้าเข้าสู่ดวงตา ช่วยบรรเทาอาการตาล้า และหากตัดเลนส์พร้อมค่าสายตาที่ถูกต้อง ก็จะช่วยให้การมองเห็นคมชัดและชะลอการเพิ่มขึ้นของสายตาได้

วิธีเลือกแว่นกรองแสงสำหรับเด็กให้ปลอดภัย และได้มาตรฐาน

วิธีเลือกแว่นกรองแสงสำหรับเด็กให้ปลอดภัยและได้มาตรฐาน

การเลือกแว่นให้ลูกไม่ใช่แค่เรื่องของดีไซน์ แต่คือการเลือกอุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง หมอจึงมีหลักเกณฑ์ 7 ข้อมาแนะนำค่ะ

  1. เลนส์ต้องมาก่อน: เลือกใช้วัสดุที่ปลอดภัยที่สุดคือ “เลนส์โพลีคาร์บอเนต” (Polycarbonate) หรือที่เรียกว่าเลนส์นิรภัย ซึ่งมีความเหนียวและทนทานต่อแรงกระแทกสูง หากเกิดอุบัติเหตุ เลนส์ชนิดนี้จะแตกยากมาก จึงช่วยลดความเสี่ยงที่เศษเลนส์จะทิ่มตาได้
  2. ไม่ใช่แค่กรองแสงสีฟ้า แต่ต้องกัน UV ได้ 100%: แสง UV จากแดดเป็นอันตรายต่อดวงตามากกว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอเสียอีก ควรเลือกเลนส์ที่ระบุว่าสามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ 100% หรือมีคุณสมบัติ “UV400” ซึ่งแบรนด์เลนส์ชั้นนำ เช่น Hoya, Essilor, Nikon, Zeiss หรือ Rodenstock มักจะมีคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว
  3. กรอบแว่นต้องเบา ยืดหยุ่น และปลอดภัย: เลือกกรอบแว่นที่ผลิตจากวัสดุที่ยืดหยุ่นและไม่เป็นโลหะ เช่น โพลีคาร์บอเนต เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุ กรอบควรมีน้ำหนักเบาและกระชับกับใบหน้า
  4. ขนาดต้องเป๊ะ อย่าซื้อเผื่อโต: แว่นที่หลวมเกินไปจะทำให้แว่นไหลลงมาที่ปลายจมูก ทำให้จุดโฟกัสของเลนส์ไม่ตรงกับศูนย์กลางดวงตาของลูก อาจส่งผลให้มองไม่ชัดและปวดตาได้
  5. ตรวจสอบคุณภาพการกรองแสง: ขอให้ร้านแว่นที่น่าเชื่อถือทำการทดสอบคุณภาพการกรองแสงให้ดู หรือตรวจสอบใบรับประกันจากการ์ดของบริษัทเลนส์ เพื่อให้มั่นใจว่าเลนส์ได้มาตรฐานและกรองแสงได้จริง
  6. หลีกเลี่ยงแว่นสำเร็จรูปราคาถูก: แว่นเหล่านี้มักใช้วัสดุพลาสติกที่ไม่ได้มาตรฐาน คุณภาพการกรองแสงอาจไม่เป็นจริง และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีการตั้งค่าจุดโฟกัสของเลนส์ให้ตรงกับดวงตาของเด็กแต่ละคน ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ หรือตาล้ามากกว่าเดิม

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคือทางที่ดีที่สุด หากไม่มั่นใจ ควรพาลูกไปพบจักษุแพทย์หรือนักทัศนมาตรเพื่อตรวจวัดสายตาและรับคำแนะนำในการเลือกกรอบและเลนส์ที่เหมาะสมและมีคุณภาพสูงสุด

3 วิธีที่ดีที่สุด ในการถนอมสายตาลูกในยุคดิจิทัล

3 วิธีที่ดีที่สุดในการถนอมสายตาลูกในยุคดิจิทัล

นอกจากการใช้แว่นกรองแสงแล้ว เกราะป้องกันดวงตาที่ดีที่สุดคือการสร้างพฤติกรรมการใช้สายตาที่ถูกต้องค่ะ

  1. ใช้กฎทอง “20-20-20”: สอนให้ลูกพักสายตา ทุกๆ 20 นาที จากหน้าจอ แล้วมองออกไปไกลๆ ที่ระยะ 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย
  2. กำหนด “เวลาหน้าจอ” ที่เหมาะสมตามวัย: จำกัดเวลาการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลของลูกในแต่ละวัน หรืออาจใช้แอปพลิเคชันช่วยเตือนให้พักสายตา เพื่อสร้างวินัยการใช้งานที่เหมาะสม องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับ ระยะเวลาการใช้หน้าจอที่เหมาะสมสำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัย เพื่อส่งเสริมพัฒนาการที่ดีรอบด้าน

ตรวจสุขภาพตาประจำปี คือสิ่งสำคัญที่สุด ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อคัดกรองโรคตาที่อาจเกิดขึ้น เช่น โรคตาขี้เกียจ ซึ่งหากตรวจพบและรักษาได้ทันท่วงทีก่อนอายุ 9 ปี ก็มีโอกาสหายได้สูง

คำถามที่พบบ่อยจากผู้ปกครอง (FAQ)

ได้ค่ะ สามารถเลือกใช้เลนส์กรองแสงที่ไม่มีค่าสายตา (ค่าสายตาเป็น 0.00) เพื่อวัตถุประสงค์ในการลดแสงสีฟ้าและป้องกันดวงตาได้

เลนส์ที่มีสีเหลืองอ่อนจะช่วยตัดแสงสีฟ้าได้ในปริมาณที่มากกว่า ทำให้รู้สึกสบายตาเมื่ออยู่หน้าจอ แต่ก็อาจทำให้การมองเห็นสีผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย ส่วนเลนส์ใสจะให้สีที่เป็นธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพในการทำให้สบายตาอาจไม่เท่าเลนส์เหลือง

ควรใส่ทุกครั้งที่ใช้งานหน้าจอ เพื่อให้แว่นทำหน้าที่ลดและกรองแสงสีฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดอาการไม่สบายตาต่างๆ และอาจช่วยให้ใช้งานหน้าจอได้นานขึ้น

แว่นกรองแสง ไม่สามารถลดค่าสายตาสั้นที่มีอยู่แล้วได้ แต่การใส่แว่นที่มีค่าสายตาที่ถูกต้องอาจช่วย “ชะลอ” ไม่ให้ค่าสายตาสั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปได้

บทสรุปจาก แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา

แว่นกรองแสงสำหรับเด็กเปรียบเสมือน “เกราะเสริม” ที่ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงที่เป็นอันตรายและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่เกราะป้องกันที่ดีที่สุด คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตาให้ถูกต้องและเหมาะสม หมอหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เลือกแว่นตาและดูแลสุขภาพดวงตาของลูกรักได้อย่างมั่นใจมากขึ้นนะคะ

หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกแว่นแบบไหน หรือต้องการตรวจเช็กสายตาของลูกน้อยให้ละเอียดเพื่อความสบายใจ สามารถนัดหมายเพื่อปรึกษาจักษุแพทย์และนักทัศนมาตรผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาเด็กที่ Mattaya Vision Center ได้เลยวันนี้ เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับดวงตาของคนที่คุณรัก

ผู้เขียนบทความ

แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน)

แพทย์หญิง มัทยา ขวัญอโนชา (หมอหลิน)

จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตาและการมองเห็น ด้วยความเชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา จักษุแพทย์ผู้ก่อตั้ง Mattaya Vision Center พร้อมวินิจฉัยและให้คำปรึกษาเฉพาะทางด้านเลนส์โปรเกรสซีฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาสายตาซับซ้อนจากภาวะสายตายาวตามวัย

ประวัติการศึกษา

  • แพทยศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1):  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วุฒิบัตรสาขาจักษุวิทยา:  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วุฒิบัตรการผ่าตัดตกแต่งกล้ามเนื้อตาและตาสองชั้น: Korean College of Cosmetic Surgery (KCCS) ประเทศเกาหลีใต้
ทักแชท ปรึกษาฟรี
ทักไลน์ ปรึกษาฟรี
สาขาของเรา
×

เบอร์โทรติดต่อ

099-463-6365